BTS ชิดลม MRT รัชดา  โทร : 096-1875888 

      

เลเซอร์ฝ้ากับปัญหาหน้าบาง : ความจริงที่ควรรู้

Share

สารบัญ

เลเซอร์ฝ้ากับปัญหาหน้าบาง : ความจริงที่ควรรู้

ในบทความนี้เราจะพาคุณเจาะลึกความจริงเกี่ยวกับเลเซอร์ฝ้า ตั้งแต่สาเหตุของการเกิดฝ้า การทำงานของเลเซอร์ ไปจนถึงข้อเสียที่มักถูกละเลย พร้อมทั้งแนะนำทางเลือกใหม่ที่ปลอดภัยกว่าเลเซอร์ เพื่อให้คุณสามารถตัดสินใจได้อย่างรอบคอบก่อนเข้ารับการรักษา

การรักษาฝ้าด้วยเลเซอร์ถือเป็นวิธีที่ได้รับความนิยมอย่างมากในยุคนี้ ไม่ว่าจะเป็นโฆษณาจากคลินิกเสริมความงามหรือรีวิวจากผู้ใช้จริง ต่างก็พูดไปในทิศทางเดียวกันว่าเลเซอร์ช่วยให้ฝ้าจางลงได้รวดเร็ว จึงไม่แปลกที่หลายคนจะเลือกใช้วิธีนี้เป็นทางออกแรก ๆ เมื่อเจอปัญหาฝ้า กระ หรือจุดด่างดำบนใบหน้า แต่สิ่งที่ไม่ค่อยมีใครพูดถึงคือผลเสียที่อาจตามมา โดยเฉพาะการทำให้ผิวหน้าบางลง อ่อนแอ และเสี่ยงที่ฝ้าจะกลับมาเป็นหนักกว่าเดิม

ทำความเข้าใจกับฝ้า และสาเหตุที่แท้จริง

ฝ้าคืออะไร และเกิดขึ้นได้อย่างไร ?

“ฝ้า” เป็นหนึ่งในปัญหาผิวที่พบได้บ่อย โดยเฉพาะในคนเอเชียซึ่งมีผิวที่ไวต่อการสร้างเม็ดสีมากกว่าคนผิวขาว ลักษณะของฝ้าคือการเกิดปื้นสีน้ำตาลอ่อนถึงเข้มบนใบหน้า ส่วนใหญ่มักขึ้นที่โหนกแก้ม หน้าผาก เหนือริมฝีปาก และสันจมูก ซึ่งเป็นจุดที่โดนแดดมากที่สุด สาเหตุหลักของฝ้าคือ ความผิดปกติของเซลล์เมลาโนไซต์ (Melanocyte) ที่ทำงานมากเกินไป ส่งผลให้เกิดการผลิตเม็ดสีเมลานินสะสมในผิวจนกลายเป็นรอยฝ้า

สิ่งที่ทำให้ฝ้ายากต่อการรักษาก็คือ ตำแหน่งของเม็ดสี ฝ้าไม่ได้อยู่เพียงแค่ผิวชั้นบน (Epidermis) แต่บางชนิดยังฝังลึกถึงชั้นหนังแท้ (Dermis) ทำให้วิธีการรักษาที่ทำได้เพียงแค่ขจัดเม็ดสีผิวชั้นนอก มักไม่สามารถแก้ไขได้จริง และเสี่ยงที่ฝ้าจะกลับมา

ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดฝ้า

สาเหตุของฝ้าไม่ได้เกิดจากสิ่งเดียว แต่เป็นผลจากหลายปัจจัยที่ซ้อนทับกัน เช่น

1.แสงแดดและรังสี UV – เป็นตัวกระตุ้นหลักที่ทำให้เมลาโนไซต์ผลิตเม็ดสีเพิ่มขึ้น แม้เพียงแดดอ่อน ๆ ก็เพียงพอที่จะกระตุ้นให้ฝ้ากลับมาเข้มขึ้นได้

2. ฮอร์โมน – โดยเฉพาะฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนที่แปรปรวน เช่น ในช่วงตั้งครรภ์หรือการใช้ยาคุมกำเนิด

3. พันธุกรรม – หากในครอบครัวมีคนเป็นฝ้า โอกาสที่คุณจะเป็นฝ้าก็สูงขึ้น

4. ความเครียดและการพักผ่อนไม่เพียงพอ – ทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล ส่งผลกระทบต่อการสร้างเม็ดสี

5. การใช้ยาบางชนิด เช่น ยากันชัก ยาต้านมาลาเรีย หรือแม้แต่เครื่องสำอางที่มีสารทำให้ผิวไวต่อแดด

ทำไมผู้หญิงถึงเป็นฝ้ามากกว่าผู้ชาย ?

จากงานวิจัยพบว่าผู้หญิงมีโอกาสเป็นฝ้ามากกว่าผู้ชายถึง 9 เท่า ซึ่งสาเหตุหลักคือฮอร์โมนเพศหญิงที่กระตุ้นการสร้างเม็ดสีได้มากกว่าเพศชาย อีกทั้งผู้หญิงมักมีพฤติกรรมที่เพิ่มความเสี่ยง เช่น การใช้ยาคุมกำเนิด การตั้งครรภ์ หรือการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ทำให้ผิวบางลงโดยไม่รู้ตัว ในขณะที่ผู้ชายมักมีโครงสร้างผิวที่หนาและแข็งแรงกว่า จึงมีโอกาสเกิดฝ้าน้อยกว่า แต่ไม่ได้หมายความว่าผู้ชายจะไม่เป็นฝ้าเลย เพียงแค่พบได้น้อยกว่าเท่านั้น

เลเซอร์ฝ้าคืออะไร และทำงานอย่างไร ?

หลักการทำงานของเลเซอร์ฝ้า

เลเซอร์ฝ้าทำงานโดยการยิงพลังงานแสงที่มีความยาวคลื่นเฉพาะเจาะจงลงไปที่ผิว เพื่อทำลายเม็ดสีเมลานินให้แตกกระจาย แล้วปล่อยให้ร่างกายกำจัดออกตามกลไกธรรมชาติ หลักการนี้คล้ายกับการลบสีบนผิวชั้นนอก จึงทำให้ผู้รับการรักษารู้สึกว่าฝ้าหรือกระจางลงอย่างรวดเร็ว

อย่างไรก็ตามเลเซอร์ไม่ได้เข้าไปแก้ที่ต้นเหตุของการสร้างเม็ดสีที่มากผิดปกติ จึงทำให้ฝ้ามีโอกาสกลับมาใหม่ได้ทุกเมื่อ และที่สำคัญหากใช้พลังงานสูงเกินไปก็อาจทำให้ผิวเกิดการไหม้ บวม แดง หรือมีรอยด่างดำแทนที่

ความแตกต่างของเลเซอร์ฝ้า กระ จุดด่างดํา

หลายคนมักสับสนว่าเลเซอร์ฝ้าแตกต่างจากเลเซอร์ที่ใช้รักษากระหรือจุดด่างดำอย่างไร ความจริงแล้วแม้จะใช้หลักการเดียวกัน แต่ก็มีความแตกต่างดังนี้

  • เลเซอร์ฝ้า – ใช้พลังงานต่ำกว่าการยิงกระ เพราะฝ้ามักมีขนาดใหญ่และอยู่ลึกในผิว
  • เลเซอร์กระ – ใช้พลังงานสูงและแม่นยำเพื่อทำลายจุดเล็ก ๆ ที่ชัดเจน
  • เลเซอร์จุดด่างดำ – มักใช้ในผู้ที่มีรอยสิวหรือรอยดำหลังอักเสบ

ถึงแม้จะมีความต่าง แต่ทุกวิธีก็ยังมีข้อเสียร่วมกัน คือการทำให้ผิวอ่อนแอหากทำซ้ำบ่อย ๆ

ทำไมการยิงเลเซอร์ถึงเป็นที่นิยม

สิ่งที่ทำให้เลเซอร์ได้รับความนิยมคือผลลัพธ์ที่รวดเร็ว เพียงทำไม่กี่ครั้ง ฝ้าหรือกระก็ดูจางลงอย่างชัดเจน จึงตอบโจทย์คนที่ต้องการผลลัพธ์ทันใจ อีกทั้งคลินิกเสริมความงามยังมักใช้เลเซอร์เป็นจุดขาย เพราะสามารถทำรายได้สูงและเป็นที่ต้องการของตลาด แต่ความจริงคือเลเซอร์เป็นเพียงการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ และผลลัพธ์มักอยู่ได้ไม่นาน หากไม่ดูแลป้องกัน ผิวที่เคยยิงเลเซอร์อาจไวต่อแสงแดดจนทำให้ฝ้ากลับมาเข้มกว่าเดิม

เลเซอร์ฝ้า ข้อเสียที่ซ่อนอยู่

แม้ว่าการเลเซอร์ฝ้าจะถูกโปรโมทว่าเป็นวิธีการรักษาที่ได้ผลเร็ว เห็นผลชัดเจนภายในไม่กี่ครั้ง แต่ในความเป็นจริงแล้ว การทำเลเซอร์กลับมีข้อเสียและความเสี่ยงซ่อนอยู่มากมาย ที่หลายคนอาจไม่รู้หรือไม่ได้รับการบอกกล่าวจากคลินิกก่อนตัดสินใจรักษา หากมองเพียงผลลัพธ์ระยะสั้น แน่นอนว่าฝ้าดูจางลง ใบหน้าดูสว่างขึ้น แต่เมื่อมองในระยะยาว ผลลัพธ์อาจไม่สวยงามอย่างที่คิด ซึ่งข้อเสียมักได้แก่

  • ผิวหน้าบางลงและอ่อนแอ

เลเซอร์ทำงานโดยการทำลายเม็ดสีผิวและกระตุ้นให้เซลล์ผิวผลัดออก ซึ่งเมื่อทำบ่อย ๆ จะทำให้ผิวชั้นนอกบางลงกว่าเดิม เกราะป้องกันธรรมชาติของผิวจึงลดลง ส่งผลให้ผิวแพ้ง่าย ระคายเคืองง่าย และไวต่อแสงแดดมากกว่าปกติ ผู้ที่เคยยิงเลเซอร์จึงต้องใช้ครีมกันแดดอย่างเข้มงวดตลอดเวลา และหากเผลอออกแดดแม้เพียงไม่นานก็อาจทำให้ฝ้ากลับมาเข้มขึ้น

  •  ฝ้าไม่หายจริง แต่กลับมาหนักกว่าเดิม

เลเซอร์เป็นเพียงการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ เพราะมันทำแค่ทำลายเม็ดสีที่มีอยู่ในผิว ไม่ได้แก้ไขความผิดปกติของเซลล์เมลาโนไซต์ที่เป็นต้นเหตุของฝ้า ดังนั้นหลังจากหยุดทำเลเซอร์ ฝ้ามักกลับมาอีกครั้ง และที่น่ากังวลคือกลับมาเข้มกว่าเดิม เนื่องจากผิวที่ถูกทำลายซ้ำ ๆ จะไวต่อการสร้างเม็ดสีมากขึ้นกว่าเดิม

  •  เสี่ยงเกิดรอยดำ (PIH) และรอยด่างขาวถาวร

หนึ่งในผลข้างเคียงที่พบได้บ่อยคือ Post Inflammatory Hyperpigmentation (PIH) หรือรอยดำหลังการอักเสบ ซึ่งเกิดจากการที่เลเซอร์ทำให้ผิวอักเสบแล้วกระตุ้นการสร้างเม็ดสีเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้รอยดำชัดกว่าเดิม อีกทั้งในบางกรณีเลเซอร์อาจทำลายเม็ดสีจนเกินไปจนเกิดเป็นรอยด่างขาวถาวร ทำให้ผิวไม่เรียบเนียน สีผิวไม่สม่ำเสมอ และยากต่อการแก้ไข

  • ผลลัพธ์ไม่ถาวร ต้องทำซ้ำ

หลายคนคิดว่าทำเลเซอร์แล้วฝ้าจะหายขาด แต่ความจริงคือผลลัพธ์อยู่ได้เพียงชั่วคราว และจำเป็นต้องทำซ้ำเรื่อย ๆ เพื่อคงสภาพให้ดูดี การทำซ้ำไม่เพียงแต่ทำให้สิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย แต่ยังทำให้ผิวถูกทำร้ายซ้ำ ๆ จนบางลงและเสื่อมสภาพเร็วขึ้น

  • ค่าใช้จ่ายสูงและเสี่ยงเจอหมอไม่เชี่ยวชาญ

การทำเลเซอร์ฝ้าต้องใช้เครื่องมือที่มีมาตรฐานและผู้เชี่ยวชาญจริง ๆ หากเจอหมอที่ขาดประสบการณ์หรือคลินิกที่ใช้เครื่องคุณภาพต่ำ อาจทำให้ผิวไหม้ เกิดแผล หรือมีรอยดำถาวรได้ อีกทั้งเลเซอร์ไม่ใช่การรักษาครั้งเดียวจบ แต่ต้องทำต่อเนื่อง ค่าใช้จ่ายจึงสูงและอาจกลายเป็นภาระทางการเงิน

  • ผลกระทบทางจิตใจ

หลายคนที่เจอปัญหาเลเซอร์แล้วฝ้าเข้มขึ้นมักเกิดความกังวล สูญเสียความมั่นใจ ต้องคอยปกปิดด้วยเครื่องสำอาง และบางครั้งถึงขั้นไม่กล้าออกไปเจอสังคม ผลกระทบทางจิตใจนี้ถือว่าเป็นข้อเสียที่มองไม่เห็นแต่รุนแรงมาก เพราะทำให้คนไข้รู้สึกเหมือนตัวเองพลาดในการตัดสินใจรักษา

เลเซอร์แล้วฝ้าเข้มขึ้น เกิดจากอะไร

หนึ่งในปัญหาที่ผู้ทำเลเซอร์ฝ้ามักเจอและกังวลใจก็คือ แทนที่ฝ้าจะหายไป แต่กลับเข้มขึ้นกว่าเดิม จนหลายคนรู้สึกว่าหน้าเสียมากกว่าดี ปัญหานี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะโชคร้ายหรือดวงไม่ดี แต่มีคำอธิบายทางการแพทย์ที่ชัดเจน ซึ่งเกี่ยวข้องกับโครงสร้างผิวและการตอบสนองของร่างกายต่อเลเซอร์โดยตรง

  • ผิวหน้าบางลงและไวต่อแสง

หลังการทำเลเซอร์ฝ้า ผิวชั้นนอกถูกทำลายและบางลง เมื่อเกราะป้องกันธรรมชาติหายไป ผิวจึงไวต่อแสงแดดและรังสี UV มากกว่าปกติ แม้จะโดนแดดเพียงเล็กน้อย ก็เพียงพอที่จะกระตุ้นให้เซลล์เมลาโนไซต์ผลิตเม็ดสีเมลานินมากขึ้น ผลลัพธ์คือฝ้าที่เข้มกว่าเดิมและกระจายกว้างกว่าเดิม

  • การอักเสบของผิวหลังทำเลเซอร์

เลเซอร์ทำให้ผิวเกิดการอักเสบเล็ก ๆ แม้จะไม่เห็นเป็นแผลชัด แต่ผิวจะตอบสนองด้วยการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน และนี่คือสาเหตุของ Post Inflammatory Hyperpigmentation (PIH) หรือ “รอยดำหลังการอักเสบ” ซึ่งพบได้บ่อยมากในผู้ที่ทำเลเซอร์ฝ้า โดยเฉพาะคนที่มีผิวเข้มหรือผิวเอเชีย

  • การกระตุ้นเมลาโนไซต์ให้ทำงานหนักขึ้น

แม้เลเซอร์มีเป้าหมายทำลายเม็ดสี แต่ในความเป็นจริง เซลล์เมลาโนไซต์ที่ยังเหลืออยู่มักตอบสนองด้วยการทำงานหนักกว่าเดิม เพื่อสร้างเม็ดสีเพิ่มขึ้นเหมือนเป็นกลไกการป้องกันตัวเองของร่างกาย ซึ่งทำให้ฝ้ากลับมาเข้มขึ้นและดื้อการรักษามากขึ้น

  • พฤติกรรมหลังเลเซอร์ไม่ถูกต้อง

อีกปัจจัยสำคัญคือการดูแลหลังทำเลเซอร์ หากผู้รักษาไม่ทาครีมกันแดดเป็นประจำ ออกแดดโดยไม่มีการป้องกัน หรือใช้ผลิตภัณฑ์ที่ทำให้ผิวระคายเคือง ก็จะทำให้ผิวที่อ่อนแออยู่แล้วถูกกระตุ้นมากขึ้นจนเกิดฝ้าเข้มกว่าเดิม

  • เลเซอร์ที่ไม่เหมาะสมหรือหมอไม่เชี่ยวชาญ

การใช้เครื่องเลเซอร์ที่ไม่เหมาะสมกับสภาพผิว เช่น ใช้พลังงานสูงเกินไป หรือทำบ่อยเกินความจำเป็น อาจทำให้ผิวถูกทำลายจนไม่สามารถซ่อมแซมได้ทัน ส่งผลให้ฝ้าไม่เพียงแต่ไม่หาย แต่ยังลุกลามและเข้มกว่าเดิมอีกด้วย

วิธีการดูแลฝ้าที่ปลอดภัยมากกว่าเลเซอร์

ปรับพฤติกรรมและการดูแลตัวเอง
การรักษาฝ้าให้ได้ผลจริง ต้องเริ่มจากการปรับพฤติกรรม เพราะแม้จะทำเลเซอร์หรือใช้ครีมราคาแพงแค่ไหน หากไม่เปลี่ยนพฤติกรรม ฝ้าก็จะกลับมาแน่นอน เช่น

  • หลีกเลี่ยงการออกแดดช่วง 10.00–15.00 น.
  • ทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30+ ทุกวัน แม้จะอยู่ในบ้าน
  • สวมหมวกและแว่นกันแดดเมื่ออยู่กลางแจ้ง
  • พักผ่อนให้เพียงพอ และลดความเครียด

ทางเลือกใหม่ในการรักษาฝ้าโดยไม่พึ่งเลเซอร์

ปัจจุบันเริ่มมีเทคนิคใหม่ที่มุ่งเน้นการแก้ไขฝ้าที่ต้นเหตุ โดยไม่ทำลายผิวเหมือนเลเซอร์ หนึ่งในนั้นคือ SMAPS ของ CHULA DOCTOR ซึ่งใช้หลักการฟื้นฟูเซลล์ผิวหนังจากภายใน ช่วยหยุดวงจรการสร้างเม็ดสีที่ผิดปกติ และเสริมสร้างเกราะป้องกันผิวให้กลับมาแข็งแรง วิธีนี้จึงไม่ทำให้หน้าบาง ไม่เสี่ยงความร้อนจากเครื่องเลเซอร์ และช่วยให้ผลลัพธ์อยู่ได้ยาวนานกว่าการยิงเลเซอร์ ทั้งยังสามารถแก้ปัญหาฝ้าได้ทุกชนิด เป็นการดูแลฝ้าที่ตรงจุดและตอบโจทย์คนรักผิว

บทความนี้เขียนโดย หมอใบเฟิน หัวหน้าทีมแพทย์ Chuladoctor แพทยศาสตร์บัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แพทย์ผู้มีประสบการณ์และความเข้าใจด้านการฟื้นฟูผิวหน้า และ ฟื้นฟูสุขภาพจากภายใน

สนใจปรึกษาฟรี
model

รับคำปรึกษาและรับ

สิทธิพิเศษ

กรุณากรอกเบอร์โทรเฉพาะตัวเลข 10 หลักเท่านั้น
close